Unbroader

Unbroader
ตู้ปลา

Friday, May 30, 2014

"ทำไม ในระบบการทำตู้ปลาหรือบ่อต้องมีวัสดุกรอง"

เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนที่เพิ่งจะเริ่มเลี้ยงปลา หรือ ที่เลี้ยงมานานแล้ว จะต้องมีปัญหาหรือปวดหัวกับการจัดการคุณภาพของน้ำ (Water Quality Management) ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ต้องเรียนรู้อย่างไม่มีวันจบทั้งทางภาคทฤษฏีและปฎิบัติ เพราะฉะนั้นเราค่อยๆมาเรียนรู้การจัดการเหล่าไปพร้อมๆกัน เพื่อที่จะให้ตู้หรือบ่อปลาของเรา มีปลาที่แข็งแรงและสมบูรณ์มากขึ้นกันดีกว่านะครับ

...............................................................................................


เคยมีคำถามเกิดขึ้นในใจเมื่อเราทำบ่อปลา มีสิ่งที่เรียกว่าวัสดุกรอง มันคืออะไร มันทำหน้าที่อะไร ในหัวข้อ
"ทำไม ในระบบการทำตู้ปลาหรือบ่อต้องมีวัสดุกรอง"

- วัสดุกรองของเรานั้น แบ่งง่ายๆ เป็น 2 ประเภท 1.เพื่อทำให้น้ำมีความใส 2.เพื่อควบคุมและขจัดของเสียบางส่วนในน้ำ โดยทั้งสองประเภทมีความเกี่ยวข้องกันอยู่ 

- ประเภทแรก จะเป็นจำพวก ใยแก้ว ใยหยาบ ใยละเอียด ฯลฯ เป็นการกรองตามที่เราเข้าใจกันครับ คือ จะกรองตะกอน เศษผง หรืออะไรก็ตามที่มีขนาดใหญ่กว่าวัสดุกรองนั้นๆ ยิ่งเราอยากให้น้ำใสมาก ก็ยิ่งต้องใช้วัสดุกรองที่มีความละเอียดมาก แต่ก็ต้องแลกกลับการที่จะต้องเปลี่ยนหรือทำความสะอาดวัสดุกรองบ่อยขึ้น 

- นอกจากนี้ก็ยังมีแบบที่เป็นกรองสำเร็จรูปเพื่อให้ง่ายต่อการดูแล เช่น ถังกรองทราย ถังกรองผ้า ถังกรองกระดาษ เป็นต้น โดยถ้าเป็นการใช้เลี้ยงปลาถังทรายจะเหมาะที่สุด ส่วนอีก 2 ชนิดข้างต้น จะเหมาะกับสระว่ายน้ำมากกว่า

- ประเภทที่สอง ที่นิยมในท้องตลาด ก็ได้แก่หินปะการัง หินภูเขาไฟ หรือ ถ้าทันสมัยหน่อยก็จะเป็น พวกวัสดุสังเคราะห์ โดยลักษณะที่สำคัญของวัสดุกรองประเภทนี้ คือ ต้องพื้นที่หน้าตัดเยอะ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า วัสดุเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะมีผิวที่ขรุขระ หรือ จะมีรูพรุน 

-  เหตุที่จำเป็นจะต้องมีพื้นที่หน้าตัดเยอะ เพราะแบคทีเรียที่คอยกินของเสียแอมโมเนีย จะเกาะอาศัยอยู่ตามพื้นผิวเหล่านี้ ยิ่งพื้นผิวมาก = แบคทีเรียมาก = สามารถนำของเสียออกจากระบบได้มาก 

- โดยของเสียเหล่านี้มีส่วนประกอบของไนโตรเจน ซึ่งเป็นอาหารหลักในการเจริญเติบโตของพืช ซึ่งก็คือตะไคร่เนี่ยแหละครับ 

- นอกจากนี้การที่ทำให้ แอมโมเนียลดยังช่วยที่จะควบคุมค่า pH ของน้ำให้มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงไม่มาก(เสถียรขึ้น)

สรุป: 

- วัสดุกรองประเภทที่1 จะเป็นการกรองแบบขวานผ่าซาก ต้องเปลี่ยนเรื่อยๆ แต่ก็จำเป็นเพื่อที่จะรักษาความใสของน้ำ 

- วัสดุกรองประเภทที่2 เป็นการกรองทางชีวภาพ แต่ก็สามารถขจัดของเสียได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น 

- เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นจะต้องมีวัสดุทั้ง 2 ประเภท ในการทำระบบการเลี้ยงปลา

วศิน กฤษณะพันธ์
Aquatica co ltd 







Friday, May 23, 2014

24 MAY 2014 - - "ทำไมปลาที่เราเลี้ยงเมื่อระบบหยุดถึงตาย และมักจะตายในช่วงเช้ามืด ?"



เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนที่เพิ่งจะเริ่มเลี้ยงปลา หรือ ที่เลี้ยงมานานแล้ว จะต้องมีปัญหาหรือปวดหัวกับการจัดการคุณภาพของน้ำ (Water Quality Management) ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ต้องเรียนรู้อย่างไม่มีวันจบทั้งทางภาคทฤษฏีและปฎิบัติ เพราะฉะนั้นเราค่อยๆมาเรียนรู้การจัดการเหล่าไปพร้อมๆกัน เพื่อที่จะให้ตู้หรือบ่อปลาของเรา มีปลาที่แข็งแรงและสมบูรณ์มากขึ้นกันดีกว่านะครับ

...............................................................................................


วันนี้ขอประเดิมด้วยเรื่อง ของคาร์บอนไดออกไซด์ และ ค่า pH นะครับในหัวข้อ
"ทำไมปลาที่เราเลี้ยงเมื่อระบบหยุดถึงตาย และมักจะตายในช่วงเช้ามืด ?"

- ค่า pH เป็นค่าที่ ถูกตั้งขึ้นเพื่อใช้ ให้ง่ายต่อการวัดความเป็นกรดเป็นด่าง ไม่ได้มีความสำคัญในตัวเอง

- ในช่วงกลางวันเมื่อมีพลังงานจากแสงแดดทำให้พืชในน้ำ สังเคราะห์แสงและคายออกซิเจนออกมา ทำให้น้ำช่วงกลางวันจึงมีอ๊อกซิเจนมาก

- ในทางกลับกัน เมื่อถึงเวลากลางคืนพืชจะไม่สามารถสังเคราะห์แสง อีกทั้งจะคายคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาแทน และเมื่อเกิดการรวมตัวของคาร์บอนไดออกไซด์กับน้ำ ทำให้เกิดกรดคาร์บอนิก ซึ่ง ภายหลังจะแตกตัวเป็น ไฮโดรเจนที่มีประจุบวก(ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ค่า pH ต่ำ)

- การวัดในทางการวิจัยจะวัดค่าน้ำ ในช่วงเช้ามืด(ตี 5) และ กลางวัน (บ่ายโมง) เพื่อที่จะได้ค่า pH ที่ต่ำสุด และ สูงสุดของแต่ละวัน

- ในน้ำฝนมีคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณที่มากกว่าในน้ำปกติ การตกของฝนทำให้ค่า pH ตกเช่นเดียวกัน จึงต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ

สรุป :
- คาร์บอนออกไซด์ ถ้ามีปริมาณมากเกินไปสามารถเป็นสาเหตุให้ปลาตายได้ แต่โดยส่วนมากถ้าระบบของบ่อปลาทำงานปกติ ก็ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงเพราะการหวุนเวียนของน้ำจะทำให้เกิดปริมาณอ๊อกซิเจนที่มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์อยู่แล้ว

-จำนวนของปลาก็เป็นปัจจัยด้วยส่วนหนึ่งในการแย่งออกซิเจนกันหายใจ

- เราสามารถวัดค่า pH ในกรณีเมื่อระบบเกิดหยุดหรือชำรุดเพื่อเตรียมตัวป้องกัน (ในกรณีที่ pH ลดต่ำลง)โดยใช้เครื่องปั๊มลมซึ่งหาซื้อได้ตามร้านอุปกรณ์ตู้ปลาทั่วไป

- ค่า pH มาตรฐานที่เหมาะสมในการเลี้ยงปลาอยู่ 6.5 - 9.0

- ที่ต้องพูดถึงค่า pH เพราะจะเป็นที่เชื่อมโยงกับ สิ่งอื่นๆที่จำเป็นต้องใช้ในการจัดการคุณภาพของน้ำ โดยจะถูกพูดในครั้งต่อๆไปด้วย


วศิน กฤษณะพันธ์