Unbroader

Unbroader
ตู้ปลา

Saturday, October 18, 2014

การเลือกซื้อปลา และการกักปลา ตอนที่ 1


ข้อควรระวังในการซื้อปลา 

- ปลาที่ซื้อนั้น ระหว่างการเคลื่อนย้ายมีหลายปัจจัย ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลร้ายต่อปลา ทั้งความเครียดที่เกิดขึ้น ค่าน้ำต่างๆแย่ลง

- ก่อนอื่นเราควรถามร้านขายปลาที่เราไปซื้อ ว่ามีค่า pH เท่าไหร่ เพราะการเปลี่ยนแปลงอย่างเร็วของ pH นั้นไม่ควรแกว่งเกิน .3 หน่วย

เมื่อเราซื้อปลามาแล้ว


- ออกซิเจนที่เราเติมไปในถุงแพ๊คปลาจะค่อยๆ ลดลงและถูกแทนที่ด้วยคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ เพราะฉะนั้นควรรีบนำกลับมาบ้านเร็วที่สุดนะครับ

- อย่างไรก็ตามเมื่อถึงบ้านเราควรจะลอยถุงปลาที่ยังไม่ได้เปิด ลอยในน้ำก่อน เพื่อปรับอุณหภูมิ (อุณหภูมิที่เย็นมากขึ้น จะลดความเป็นพิษของแอมโมเนีย)

- เมื่อเราเปิดปากถุง อย่ากักปลาไว้ในถุงนาน เนื่องจากเมื่อเราเปิดถุง คาร์บอนไดออกไซด์ จะระเหยออก ส่งผลให้ ค่า pH สูงขึ้น และ ทำให้ความเป็นพิษของ แอมโนเนียในถุงเพิ่มมากขึ้น

- ควรจะมีตู้สำรองปลาก่อนที่จะเอาลงตู้จริงๆ นะครับ จะได้ปรับ ค่า pH ให้เท่ากับร้านค้าที่เราซื้อ และช่วยปรับสภาพความเครียดของปลาได้อีกด้วย จากนั้นเราค่อยๆ ปรับค่าน้ำต่างๆ ให้ตรงกับตู้ของเราอย่างช้าๆ อย่าใจร้อนนะครับ


*การเพิ่มค่า pH สามารถใช้ โซเดียมไบคาร์บอเนต หรือ baking soda 
การลดค่า pH สามารถใช้ กรดไฮโดรคลอริก หรือ กรดเกลือ
การปรับ pH ควรค่อยๆปรับนะครับ


หมายเหตุ: บทความนี้เป็นความที่ผมได้ทำการศึกษาโดยจะอธิบายตามหลักของเหตุและผลเป็นสำคัญเนื่องจากในทางปฎิบัติสามารถประยุกต์ได้มากมายหลายวิธี จึงขอนำเสนอพื้นฐานที่เข้าใจง่ายในภาคทฤษฎี เพื่อจะได้นำความรู้ไปประยุกต์ได้อย่างถูกต้อง และเพื่อที่ป้องกันความเชื่อที่เข้าใจกันผิดๆ โดยถ้ามีข้อคิดเห็น ติชม ก็ยินดีรับฟังนะครับ 


Tuesday, September 30, 2014

30SEP 2014 - การเริ่มต้นเลี้ยงปลาทะเล (ไอเดียการทำกรองใต้ตู้และหน้าที่ของหินเป็น(live rock)) ตอนที่ 2


เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนที่เพิ่งจะเริ่มเลี้ยงปลา หรือ ที่เลี้ยงมานานแล้ว จะต้องมีปัญหาหรือปวดหัวกับการจัดการคุณภาพของน้ำ (Water Quality Management) ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ต้องเรียนรู้อย่างไม่มีวันจบทั้งทางภาคทฤษฏีและปฎิบัติ เพราะฉะนั้นเราค่อยๆมาเรียนรู้การจัดการเหล่าไปพร้อมๆกัน เพื่อที่จะให้ตู้หรือบ่อปลาของเรา มีปลาที่แข็งแรงและสมบูรณ์มากขึ้นกันดีกว่านะครับ
...............................................................................................

การทำกรองล่างใต้ตู้
โดยหลักการเบื้องต้นควรมีอย่างน้อย 3 ช่องนะครับ

 ช่องที่ 1 ควรที่จะใส่ skimmer เพราะน้ำที่ออกจาก skimmer จะยังคงมีฟองเล็กๆ อยู่ ถ้าอยู่ติดกับ pump ซึ่งใช้ดูดน้ำรันระบบ จะทำให้ตู้ปลาของเราเต็มไปด้วยฟองเม็ดเล็กๆครับ ทำให้ตู้ดูขุ่นไม่สวยงาม และยังเป็นตัวที่ทำให้เกิดโรค Bubble disease ในตัวปลาได้อีกด้วยครับ

ช่องที่2 มีวัตถุประสงค์ดังนี้ครับ ทิ้งพื้นที่ให้ฟองอากาศจาก skimmer นั้นหายไป  โดยไหนๆก็เหลือพื้นที่แล้วอาจจะใช้พวก วัสดุกรองเช่น หินปะการัง หินภูเขาไฟ และใส่สาหร่ายพวงองุ่น โดยสาเหตุเนื่องจากเพิ่มพื้นที่กระบวนการ biological น้ำจะไหลผ่านแบคทีเรียที่อายุอยู่บริเวณพื้นผิวของวัสดุกรอง การใส่สาหร่ายพวงองุ่นก็จะใช้ Nitrate ในการเจริญเติบโตเช่นเดียวกันครับ

*ถึงแม้ว่า สาหร่ายพวงองุ่นจะสามารถลดปริมาณNitrate ได้ก็จริง แต่ก็เป็นส่วนน้อยมาก ถ้าเทียบกับประสิทธิภาพจากโปรตีนสกิมเมอร์ครับ

ช่องที่ 3 เป็นช่องที่เอาไว้สำหรับดูดน้ำขึ้นไปบนตู้เพื่อวนเป็น วัฎจักรต่อไปเรื่อยๆนะครับ
การใช้วัสดุกรองกายภาพ เช่น ใยแก้ว ฟองน้ำ โดยหลักการสามารถใช้ได้ครับ แต่ควรหมั่นเปลี่ยนอยู่บ่อย อาทิตย์ละ 1-2 ครั้งนะครับ ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นวัสดุที่อุดมไปด้วย  Ammonia เนื่องจากตะกอนที่ถูกดักนั้นแปรสภาพครับ

ทั้งนี้ สามารถดัดแปลงได้ตามไอเดียได้เลยนะครับ ด้านบนเป็นแค่ตัวอย่างง่ายๆของการทำกรองครับ 

ข้อควรระวังของการทำกรองอีกอย่างคือเรื่องระดับน้ำ ซึ่งจะมีผลต่อการทำงานของ โปรตีนสกิมเมอร์ค โดยปกติ skimmer แต่ละรุ่น ยี่ห้อ จะมีกำหนดระดับน้ำว่าควรสูงมากน้อยแค่ไหน สามารถสอบถามร้านค้าที่เราไปซื้อได้เลยนะครับ เพราะ ถ้า ระดับน้ำสูงหรือ ต่ำไปโปรตีนสกิมเมอร์คจะมีประสิทธิภาพไม่เต็มที่

หินเป็น (live rock)

หินเป็น (live rock) เป็นชื่อที่ผมคิดว่าน่าจะทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษแบบตรงตัว โดยจริงๆแล้วหินเป็นก็คือซากปะการังที่ตายแล้ว (Rock) ซึ่งมีแบคทีเรียดี(Nitrifying bacteria) อาศัยอยู่(live)  
วัตถุประสงค์ของการหินเป็น
     1. เป็นที่แอบของปลา เนื่องจากปลาทะเลส่วนใหญ่จะค่อนข้างขี้กลัวและตกใจง่าย จึงควรมีซอกหินเพื่อให้แอบได้
     2. ตกแต่งตู้ให้ดูสวยงาม ถ้าอนาคตจะเลี้ยงปะการังก็สามารถทำเป็นฐานเพื่อวางปะการังได้  
     3. สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ หินเป็นจะเป็นหัวใจของระบบ แบคทีเรียที่ช่วยย่อยสลายแอมโมเนียจะอาศัยอยู่ในพื้นผิวของหินปะการัง  

การเลือกซื้อหินปะการัง
ควรเลือกซื้อหินตาย (Dead rock ) หรือก็คือหินปะการังธรรมดาๆ นี่แหละครับ

ดูยังไงว่าอันไหนหินเป็น อันไหนหินตาย ?
มันคืออันเดียวกันแหละครับ แต่เราจะเรียกหินเป็นก็ต่อเมื่อมันอยู่ในน้ำทะเลและมีแบคทีเรีย(Nitrifying bacteria)เกิดขึ้นครับ เมื่อนำขึ้นจากทะเลตากแดด หรือ แช่ในน้ำประปา ซักพักแบคทีเรียที่มีอยู่ก็ตายหมดแล้วครับ

ทำไมควรเลือกซื้อหินตายมากกว่าหินที่เป็นแล้ว ?
1.       สิ่งมีชีวิตในทะเลมีเยอะครับ ทั้งเชื้อโรค ไวรัส ทั้งแบคทีเรียดี/ไม่ดี ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เราไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในหินที่เราซื้อมาบ้าง จึงควรนำมาแช่น้ำเปล่า ทำความสะอาดก่อนมาตกแต่งตู้ครับ
2.       ราคาถูกกว่าด้วยครับ

จะทำยังไงให้หินตายกลายเป็นหินเป็น ?
ไม่ยากครับ แค่เราใส่ปลาลงไปในตู้ เมื่อมีของเสีย มีอาหาร แอมโมเนียจะเริ่มเกิดขึ้น แบคทีเรียพวกนี้กินแอมโมเนียครับ มันจะเกิดขึ้นมาเอง ใจเย็นๆนะครับ 

ในบทความหน้า จะพูดการติดปั๊มในตู้ปลา ว่ามีประโยชน์อย่างไรบ้าง และ อุปกรณ์เครื่องทำความเย็น (Chiller) นะครับ

Friday, September 26, 2014

26 SEP 2014 - การเริ่มต้นเลี้ยงปลาทะเล (หัวใจพื้นฐาน 4 ข้อของการเลี้ยงปลาทะเล) ตอนที่ 1

เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนที่เพิ่งจะเริ่มเลี้ยงปลา หรือ ที่เลี้ยงมานานแล้ว จะต้องมีปัญหาหรือปวดหัวกับการจัดการคุณภาพของน้ำ (Water Quality Management) ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ต้องเรียนรู้อย่างไม่มีวันจบทั้งทางภาคทฤษฏีและปฎิบัติ เพราะฉะนั้นเราค่อยๆมาเรียนรู้การจัดการเหล่าไปพร้อมๆกัน เพื่อที่จะให้ตู้หรือบ่อปลาของเรา มีปลาที่แข็งแรงและสมบูรณ์มากขึ้นกันดีกว่านะครับ

...............................................................................................

โดยหัวพื้นฐานของการทำตู้ปลาทะเล ผมจะขอแบ่งเป็น 4 หัวข้อนะครับ 
1.Nitrogen cycle 
2. Salinity ความเค็ม 
3. ค่า pH
4. วัสดุกรอง Filtration 

1.Nitrogen Cycle

Nitrogen Cycle มันคืออะไร ทำไมถึงต้องรู้ มันมีผลกระทบต่อปลาของเราอย่างไร มาดูกันครับ





        จากภาพด้านบนนะครับ จุดเริ่มต้นของระบบปิดนั้น ก็เริ่มต้นมาจากการใปล่อยปลาลงตู้ ซึ่งเราก็ต้องให้อาหารควบคู่ไปด้วย โดย ซากอาหารที่เหลือหรือขี้ปลาจะอยู่ในรูปของโปรตีน ที่จะกลายสภาพเป็นแอมโมเนีย ไนไตร์ท ไนเตรท และไนโตรเจน(ก๊าซ) ลอยขึ้นสู่อากาศตามลำดับนะครับ โดยความเป็นพิษที่มีผลต่อปลา แอมโมเนีย จะมีพิษมากที่สุด และไล่เรียง เป็น ไนไตร์ท ไนเตรท ตามลำดับ

        การเริ่มของระบบนั้น จะยังไม่มีการเกิด Nitrifying bacteria ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อระบบที่ช่วยสร้างระบบให้วงจร Nitrogen สมบรูณ์ เพราะฉะนั้นในช่วงแรกที่เริ่มตั้งเรายังไม่ควรที่จะปล่อยปลาเป็นจำนวนมากทีเดียว เพราะแอมโมเนียที่เกิดขึ้นยังไม่สามารถเปลี่ยนรูป ค่าความเป็นพิษจึงขึ้นสูงเร็วมาก การปล่อยปลาแรกเริ่มจำเป็นต้องค่อยๆทยอยปล่อย ทีละ 1-2 ตัว พร้อมกับการวัดค่าน้ำโดยชุด Test เพื่อค่อยๆสร้างระบบขึ้นมาทีละนิด โดยการทำงานของวงจร Nitrogen อย่างละเอียดจะขอพูดถีงทีหลังอีกครั้งหนึ่งนะครับ 

2. Salinity ความเค็ม 

      ในตู้ปลาทะเลนั้นระดับจะต้องน้ำทะเลในการเลี้ยง โดยอาจจะใช้น้ำทะเลจริงๆหรือการเกลือวิทยาศาสตร์ก็ได้ โดย ความเค็มสามารถวัดได้ 2 รูปแบบ 1. วัดเป็น ppm 2. วัดเปรียบเทียบความหนาแน่น โดยใช้อุปกรณ์กล้องวัดความเค็มหรือใช้ตัววัดความหนาแน่นติดข้างตู้ไว้เลยก็ได้ครับ 

      โดยทั่วไปน้ำในตู้ปลา จะมีการะเหยออกตลอดเวลาอยู่แล้ว ซึ่งอาจจะทำให้ความเค็มเพิ่มขึ้น เราควรหมั่นเช็คเพื่อเติมน้ำเปล่าทดแทนส่วนที่ระเหยลงไปเพื่อให้ความเค็มคงที่อยู่ในระดับเดิม

*การะเหย เกลือจะไม่สามารถระเหยได้ มีแต่เพียงส่วนที่เป็นน้ำ เพราะฉะนั้นค่าความเค็มของน้ำจะเพิ่มขึ้นเมื่อน้ำระเหยออกไป

*ค่าความเค็มปกติจะอยู่ในระดับ 25-35 ppm หรือประมาณ 1.020

3.ค่า pH

      เป็นหน่วยวัดที่ถูกสร้างขึ้นให้อยู่ในรูปที่เข้าใจง่ายขึ้น โดยจะบ่งบอกจำนวนของประจุ Hydrogen ion (H+) ถ้ามีเวลาผมจะมาอธิบายอย่างละเอียดอีกทีนะครับ ในส่วนตรงให้รู้ค่ามาตรฐานไว้ก่อน 

ถ้า ค่าpH ต่ำกว่า 7 ถือเป็น กรด
    ค่าpH สูงกว่า 7 ถือเป็น ด่าง 

ซึ่งค่าที่เหมาะสมทางทฤษฎีสำหรับตู้ปลาทะเลนั้น จะอยู่ในช่วง 8.3- 8.5 อย่างไรก็ดี พยายามรักษา pH ให้ไม่ต่ำกว่า 7.8 ก็เพียงพอแล้วครับ 

4. วัสดุกรอง Filtration 

   อย่างที่เคยพูดถึงไปแล้ว นะครับ 
   ประเภทวัสดุกรอง 1 ชีวภาพ 2. กายภาพ อาจจะมีเป็นอันที่ 3. คือเคมี

1. ประเภทที่ 1 หลักการของวัสดุชนิดนี้คือ ต้องมีพื้นผิวมาก โดยลักษณะทั่วไปจะมีพื้นผิวขรุขระ เป็นรูพรุน เนื่องจากพื้นที่ผิวจะเป็นที่อยู่อาศัยของ Nitrifying bacteria ที่กล่าวไปตอนต้น วัสดุพวกนี้ก็เช่น หินปะการัง หินภูเขาไฟ วัสดุสังเคราะห์ฟิลเตอร์แมท มูฟวิ่งเบส ไบโอบอล เป็นต้น 

2. ประเภทที่ 2 เป็นการกรองของเสียออกเพื่อช่วยลดการเกิดขึ้นของแอมโมเนีย เช่น ไยกรอง กรองฟองน้ำ เครื่องปั่นฟอง(Protein Skimmer) เป็นต้น

3. ประเภทที่ 3 การใช้เคมีเข้ามาช่วยเช่น Activated carbon ซึ่งช่วยดูดกลิ่น สี อื่นๆ ครับ 

 ในบทต่อๆจะขอพูดถึงในเรื่องพื้นฐาน เช่น ตำแหน่งการวางตู้ การเลือกหินปะการัง การซื้อปลา และอื่นๆครับ หวังว่าจะพอเข้าใจและได้ความเพิ่มขึ้นกันนะครับ

วศิน กฤษณะพันธ์

Friday, May 30, 2014

"ทำไม ในระบบการทำตู้ปลาหรือบ่อต้องมีวัสดุกรอง"

เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนที่เพิ่งจะเริ่มเลี้ยงปลา หรือ ที่เลี้ยงมานานแล้ว จะต้องมีปัญหาหรือปวดหัวกับการจัดการคุณภาพของน้ำ (Water Quality Management) ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ต้องเรียนรู้อย่างไม่มีวันจบทั้งทางภาคทฤษฏีและปฎิบัติ เพราะฉะนั้นเราค่อยๆมาเรียนรู้การจัดการเหล่าไปพร้อมๆกัน เพื่อที่จะให้ตู้หรือบ่อปลาของเรา มีปลาที่แข็งแรงและสมบูรณ์มากขึ้นกันดีกว่านะครับ

...............................................................................................


เคยมีคำถามเกิดขึ้นในใจเมื่อเราทำบ่อปลา มีสิ่งที่เรียกว่าวัสดุกรอง มันคืออะไร มันทำหน้าที่อะไร ในหัวข้อ
"ทำไม ในระบบการทำตู้ปลาหรือบ่อต้องมีวัสดุกรอง"

- วัสดุกรองของเรานั้น แบ่งง่ายๆ เป็น 2 ประเภท 1.เพื่อทำให้น้ำมีความใส 2.เพื่อควบคุมและขจัดของเสียบางส่วนในน้ำ โดยทั้งสองประเภทมีความเกี่ยวข้องกันอยู่ 

- ประเภทแรก จะเป็นจำพวก ใยแก้ว ใยหยาบ ใยละเอียด ฯลฯ เป็นการกรองตามที่เราเข้าใจกันครับ คือ จะกรองตะกอน เศษผง หรืออะไรก็ตามที่มีขนาดใหญ่กว่าวัสดุกรองนั้นๆ ยิ่งเราอยากให้น้ำใสมาก ก็ยิ่งต้องใช้วัสดุกรองที่มีความละเอียดมาก แต่ก็ต้องแลกกลับการที่จะต้องเปลี่ยนหรือทำความสะอาดวัสดุกรองบ่อยขึ้น 

- นอกจากนี้ก็ยังมีแบบที่เป็นกรองสำเร็จรูปเพื่อให้ง่ายต่อการดูแล เช่น ถังกรองทราย ถังกรองผ้า ถังกรองกระดาษ เป็นต้น โดยถ้าเป็นการใช้เลี้ยงปลาถังทรายจะเหมาะที่สุด ส่วนอีก 2 ชนิดข้างต้น จะเหมาะกับสระว่ายน้ำมากกว่า

- ประเภทที่สอง ที่นิยมในท้องตลาด ก็ได้แก่หินปะการัง หินภูเขาไฟ หรือ ถ้าทันสมัยหน่อยก็จะเป็น พวกวัสดุสังเคราะห์ โดยลักษณะที่สำคัญของวัสดุกรองประเภทนี้ คือ ต้องพื้นที่หน้าตัดเยอะ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า วัสดุเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะมีผิวที่ขรุขระ หรือ จะมีรูพรุน 

-  เหตุที่จำเป็นจะต้องมีพื้นที่หน้าตัดเยอะ เพราะแบคทีเรียที่คอยกินของเสียแอมโมเนีย จะเกาะอาศัยอยู่ตามพื้นผิวเหล่านี้ ยิ่งพื้นผิวมาก = แบคทีเรียมาก = สามารถนำของเสียออกจากระบบได้มาก 

- โดยของเสียเหล่านี้มีส่วนประกอบของไนโตรเจน ซึ่งเป็นอาหารหลักในการเจริญเติบโตของพืช ซึ่งก็คือตะไคร่เนี่ยแหละครับ 

- นอกจากนี้การที่ทำให้ แอมโมเนียลดยังช่วยที่จะควบคุมค่า pH ของน้ำให้มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงไม่มาก(เสถียรขึ้น)

สรุป: 

- วัสดุกรองประเภทที่1 จะเป็นการกรองแบบขวานผ่าซาก ต้องเปลี่ยนเรื่อยๆ แต่ก็จำเป็นเพื่อที่จะรักษาความใสของน้ำ 

- วัสดุกรองประเภทที่2 เป็นการกรองทางชีวภาพ แต่ก็สามารถขจัดของเสียได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น 

- เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นจะต้องมีวัสดุทั้ง 2 ประเภท ในการทำระบบการเลี้ยงปลา

วศิน กฤษณะพันธ์
Aquatica co ltd 







Friday, May 23, 2014

24 MAY 2014 - - "ทำไมปลาที่เราเลี้ยงเมื่อระบบหยุดถึงตาย และมักจะตายในช่วงเช้ามืด ?"



เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนที่เพิ่งจะเริ่มเลี้ยงปลา หรือ ที่เลี้ยงมานานแล้ว จะต้องมีปัญหาหรือปวดหัวกับการจัดการคุณภาพของน้ำ (Water Quality Management) ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ต้องเรียนรู้อย่างไม่มีวันจบทั้งทางภาคทฤษฏีและปฎิบัติ เพราะฉะนั้นเราค่อยๆมาเรียนรู้การจัดการเหล่าไปพร้อมๆกัน เพื่อที่จะให้ตู้หรือบ่อปลาของเรา มีปลาที่แข็งแรงและสมบูรณ์มากขึ้นกันดีกว่านะครับ

...............................................................................................


วันนี้ขอประเดิมด้วยเรื่อง ของคาร์บอนไดออกไซด์ และ ค่า pH นะครับในหัวข้อ
"ทำไมปลาที่เราเลี้ยงเมื่อระบบหยุดถึงตาย และมักจะตายในช่วงเช้ามืด ?"

- ค่า pH เป็นค่าที่ ถูกตั้งขึ้นเพื่อใช้ ให้ง่ายต่อการวัดความเป็นกรดเป็นด่าง ไม่ได้มีความสำคัญในตัวเอง

- ในช่วงกลางวันเมื่อมีพลังงานจากแสงแดดทำให้พืชในน้ำ สังเคราะห์แสงและคายออกซิเจนออกมา ทำให้น้ำช่วงกลางวันจึงมีอ๊อกซิเจนมาก

- ในทางกลับกัน เมื่อถึงเวลากลางคืนพืชจะไม่สามารถสังเคราะห์แสง อีกทั้งจะคายคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาแทน และเมื่อเกิดการรวมตัวของคาร์บอนไดออกไซด์กับน้ำ ทำให้เกิดกรดคาร์บอนิก ซึ่ง ภายหลังจะแตกตัวเป็น ไฮโดรเจนที่มีประจุบวก(ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ค่า pH ต่ำ)

- การวัดในทางการวิจัยจะวัดค่าน้ำ ในช่วงเช้ามืด(ตี 5) และ กลางวัน (บ่ายโมง) เพื่อที่จะได้ค่า pH ที่ต่ำสุด และ สูงสุดของแต่ละวัน

- ในน้ำฝนมีคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณที่มากกว่าในน้ำปกติ การตกของฝนทำให้ค่า pH ตกเช่นเดียวกัน จึงต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ

สรุป :
- คาร์บอนออกไซด์ ถ้ามีปริมาณมากเกินไปสามารถเป็นสาเหตุให้ปลาตายได้ แต่โดยส่วนมากถ้าระบบของบ่อปลาทำงานปกติ ก็ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงเพราะการหวุนเวียนของน้ำจะทำให้เกิดปริมาณอ๊อกซิเจนที่มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์อยู่แล้ว

-จำนวนของปลาก็เป็นปัจจัยด้วยส่วนหนึ่งในการแย่งออกซิเจนกันหายใจ

- เราสามารถวัดค่า pH ในกรณีเมื่อระบบเกิดหยุดหรือชำรุดเพื่อเตรียมตัวป้องกัน (ในกรณีที่ pH ลดต่ำลง)โดยใช้เครื่องปั๊มลมซึ่งหาซื้อได้ตามร้านอุปกรณ์ตู้ปลาทั่วไป

- ค่า pH มาตรฐานที่เหมาะสมในการเลี้ยงปลาอยู่ 6.5 - 9.0

- ที่ต้องพูดถึงค่า pH เพราะจะเป็นที่เชื่อมโยงกับ สิ่งอื่นๆที่จำเป็นต้องใช้ในการจัดการคุณภาพของน้ำ โดยจะถูกพูดในครั้งต่อๆไปด้วย


วศิน กฤษณะพันธ์